มนุษย์มี ๔
ร่าง ๕ ธาตุ ยืนตั้งฉากกับผิวโลก
เมื่อยืนตั้งฉากเกิดสนามพลังงานเพื่อมีตัวรู้เกิดขึ้น
๑ ร่างกายเนื้อ
ดิน น้ำ ลม ไฟ ทอง ที่พุทธเรียกกองธาตุ ที่วิทยาศาสตร์เรียกสสาร
๒ ร่างอีเธอร์
คือปราณ คลุมกายชีวิต หรืออารมณ์กายแห่งอารมณ์นั่นเอง
เมื่อเรียกใช้อารมณ์จากกายเนื้อเราจะดึงจากร่างอีเธอร์นี้ ดึงบ่อยๆ ก็เกิดช่องทาง
(เหมือนถนน) พลังชีวิต มีชีวิตกับมันบ่อยๆ เจริญรุ่งเรือง มีนิสัยแบบนั้นๆ)
๓ ร่างแอสทรัล
หรือกายจักรวาล พลังจักรวาลใช้กายแอสทรัลนี้ในการกระตุ้นพลังงาน
กายนี้ทำให้เราอยู่รอด ร่างแอสทรัลนี้หิ้วกระเพาะไปไหนๆ ได้ ต้องไปกินสิ่งมีชีวิตอื่น
(พืชไม่มีกายแอสทรัล สัตว์มีกายแอสทรัล) แอสทรัลคือกิจกรรมทั้งสี่ กินขี้ปี้นอน
ใครจะร่ำรวยหรือไม่อยู่ที่ร่างแอสทรัล ดวงดาวส่งผลกับชีวิตมนุษย์ที่ร่างแอสทรัลนี้เอง
มนุษย์บริโภคพลังงานแอสทรัลได้จากสองช่องทางดังนี้
กินจากสัตว์ จากไข่
บริโภคจากการบำเพ็ญภาวนา
๔ ร่างอีโก้
ละเอียดกว่าร่างแอสทรัล มีเฉพาะในมนุษย์ มีตัวกู ของกู มีตัวเราของเราจึงครองโลกได้
มนุษย์ทุกคนเหมือนๆ กันแต่มีความแตกต่างเป็นปัจเจกบุคคลเพราะมีตัวกูที่ต่างกัน
มนุษย์บริโภคพลังงานคอสมิคได้จากการรับแสงอาทิตย์
โดยเปิดจักระรับ ดังนั้นการใช้พลังจักรวาลจึงทำได้แต่ตอนกลางวัน
มนุษย์อาศัยบนดาวเคราะห์โลก
ได้พลังงานจากดวงอาทิตย์ แสงเจ็ดสีรวมเป็นสีขาว
เจ็ดสีนำไปใช้ในเจ็ดจักระนำมาใช้ได้ตลอด
แสงสีม่วง
คืออัลตร้าไวโอเล็ต ทะลุผ่านทุกอย่างได้ จักระเจ็ดจะรับแสงไม่ต้องไปกลางแจ้ง
อยู่ในที่ร่มก็ไวเบรทกับจักรวาลได้
แสงสีคราม
แสงสีน้ำเงิน รับที่ทะเล เมื่อลงแช่น้ำทะเล ชั้นโอโซนกันให้สีคราม
สีน้ำเงินอยู่แค่ใต้ท้องฟ้า แสงสีน้ำเงินต้องออกไปรับกลางแจ้ง
แสงสีเขียว
ลงสู่พืชมากที่สุด
แสงสีเหลือง
กินหัวมัน สีเหลืองๆ หัวมันรับแสงจากดิน
แสงสีส้ม
สีแดง เป็นแสงที่มีความถี่ยาวสุด รับกลางแจ้งก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
และหลังพระอาทิตย์ตก
หรือจะรับจากอาหารสีต่างๆ
ก็ได้
(ความสั่นสะเทือนของ) สีบำบัด
อารยธรรมโบราณ
๒๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาลใช้แสงและสีในการบำบัดความเจ็บป่วย สีต่างๆ
เป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมในทุกส่วนรวมถึงสุขภาพด้วย
ในหนังสือจิตวิทยาสีและการบำบัดด้วยสี แฟเบอร์ บิเรน กล่าวว่า อารยะธรรมอียิปต์โบราณสร้างเรือนกระจกมีหลังคาเป้นกระจกสี
และใช้ผ้าไหมสีต่างๆ น้ำและเจลสีในการบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ
ในเวลาดังกล่าวแม้ว่าผู้คนจะไม่เข้าใจถึงหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังการใช้สีในการบำบัดโรค
แต่พวกเขามีศรัทธาในพลังของแสงสีและความถี่ต่างๆ ดังกล่าว
ปัจจุบันผู้คนเลือกใช้การแพทย์แบบองค์รวมในการดูแลสุขภาพมากขึ้น
วิถีดั้งเดิมหลายประการได้มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่รับรองผลแล้ว จึงถูกนำมาใช้ในการดูแลสุขภาพอย่างได้ผลและเริ่มเป็นที่แพร่หลาย
ผู้บำบัดที่ใช้สี/แสงบำบัด
เชื่อว่าร่างกายมีสนามพลังงานห้อมล้อมอยู่ สนามพลังงาน หรือที่เรียกว่าออร่า
หรือไบโอฟิลด์นี้มีปฏิสัมพันธ์กับพลังงานภายนอก อาทิแสง สี เสียง
อวัยวะในร่างกายเชื่อมกับศุนย์พลังงานในร่างกายที่เรียกว่าจักระ
แต่ละจักระมีความถี่การสั่นสะเทือนที่ต่างกันออกไปตามสีของจักระนั้นๆ
เมื่อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายมีความถี่ผิดเพี้ยนไปจากความถี่ปรกติ จะเกิดความไม่สมดุลและนำไปสู่โรคในที่สุด
งานวิจัยด้านการแพย์ทางเลือกได้พิสูจน์แล้วว่า การรับแสง รวมกับสีเฉพาะที่สีที่คล้องจองกับอวัยวะหรือระบบที่ขาดสมดุลจะได้รับพลังงานเยียวยาที่เหมาะสม
ตัวอย่างในปัจจุบันมีการใช้เลเซอร์สีเฉพาะกำจัดมะเร็งร่วมกับสารมีสีที่เกาะแอนติบอดี้มะเร็งไปทำลายมะเร็งเฉพาะส่วนในประเทศสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น
การให้แสงความถี่เฉพาะต่ออวัยวะที่เกิดโรคจะทำให้อวัยวะที่มีความถี่คลาดเคลื่อนดังกล่าวปรับความถี่
สร้างสมดุลขึ้นมาใหม่ และทำงานได้เป็นปรกติ
การบำบัดด้วยสีหรือแสงกระทำได้ในหลายรูปแบบ
เป็นการบำบัดเสริมเพื่อคืนความสมดุลให้กายเนื้อ ร่างอีเธอร์ ร่างอีโก้
และร่างจิตวิญญาณของมนุษย์ มีทั้งการใช้แสงสีต่างๆ ใช้หินสีหรืออัญมณี หรือผ้าธรรมชาติสีธรรมชาติวางณ
จักระต่างๆเพื่อปล่อยความถี่ฟื้นฟูผ่านจักระสู่อวัยวะหรือร่างพลังงานที่ต้องการ
อ้างอิง
O’Brien M. Color
Vibration Therapy http://wellness360magazine.com/14099-2/
Pangnoi R. (2019) Tuning Fork, Institute of Mind-Body-Spirit Health Promotion